Font Size

Profile

Layout

Direction

Menu Style

Cpanel

พระธรรมเทศนาบางส่วน


โดย สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ

ณ พระที่นั่งธรรม
มณฑลพระราชพิธีท้องสนามหลวง
วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๐

“ ...ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราเตือนท่านทั้งหลาย สังขารมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงทำประโยชน์ตนและผู้อื่นให้สมบูรณ์ ด้วยความไม่ประมาทเถิด

สังขาร หรือ สภาพทางร่างกายและจิตใจ อันถูกปรุงแต่งขึ้น เปรียบเหมือนบ้านเรือน เป็นอัพยากตธธรรม 'ไม่จัดเป็นบุญเป็นบาป' อย่างดีเพียงที่ปรากฏให้เห็นอยู่ภายนอก เป็นของสวยของงาม แตกต่างกันบ้างก็เท่านั้น ความสำคัญอยู่ที่ ผู้ที่อยู่ในบ้านเรือนนั้น ต่างหากว่าเป็นใคร

ถ้าเป็นผู้ประเสริฐ บ้านนั้นก็เป็นบ้านของผู้ประเสริฐ เช่น ถ้าเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ ผู้ทรงทศพิธราชธรรม สถานที่นั้นก็เป็นพระราชวังอันพึงเคารพ ในทางตรงกันข้าม ถ้าเป็นที่อยู่ของโจรผู้ร้าย สถานที่นั้นก็เป็นที่น่ารังเกียจ ไม่น่าเข้าใกล้  สังขาร หรือสรีระ ก็เช่นเดียวกัน

นอกจากธรรมะ ไม่มีอะไรที่จะแบ่งสรีระ ให้ดีชั่ว สูงต่ำได้ แม้ยังยึดมั่นในตัวเราของเราอยู่ ก็พึงทำตัวเรา หรือผู้ครองนั้น ให้เป็นผู้มีธรรมะ อบรมคุณธรรมให้สมบูรณ์ รู้จักเกื้อกูลผู้อื่น ทำชีวิตให้มีสาระ ไม่เสียเปล่า เพื่อให้สมควรแก่การครองอัตภาพ ที่มีแต่ความเสื่อม สลาย แตกดับไปทั้งสิ้น ตามธรรมดาของสังขาร ที่จะพึงสามารถเอาสาระประโยชน์ จากธรรมดามาเป็นของหลีกพ้นจากทุกข์ได้

แล้วธรรมะใดเล่า จะเป็นของที่จะนำไปพ้นจากทุกข์ได้ ธรรมะที่จะทำให้พ้นจากทุกข์ได้ ก็คือสติปัญญา สตินั้นก็คือความระลึกได้ ที่จะเป็นเครื่องช่วยอุปการะให้มีปัญญา

หากบุคคลขาดสติปัญญาเสียแล้ว สังขารย่อมปรุงแต่งจิต ให้เป็นจิตแห่งความโลภ  จิตแห่งความโกรธ และจิตแห่งความหลง  อันเป็นมูลเหตุในการพูด ในการกระทำความชั่วทุกชนิด ในทันที 

สติย่อมเกิดกับจิตที่ดีงามทุกประเภท สติจึงมีหลายระดับขั้น ทั้งที่เป็นไปในการให้ทาน ในการรักษาศีล และในการอบรมความสงบของจิต กระทั่งก้าวไปสู่มหาสติ ในการอบรมเจริญปัญญา ให้เข้าใจถูก เห็นถูก ในลักษณะของรูปธรรมและนามธรรม อันเป็นสภาพทุกข์ที่กำลังปรากฏ ซึ่งล้วนเกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน พลันประจักษ์ 'ความว่าง' จากตัวตน สัตว์ บุคคล เรา เขา ได้อย่างเป็นธรรมชาติในทุกขณะ 

ปัญญาจะเกิดขึ้นได้ ก็จำเป็นต้องมี 'สติ' เกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ดังนั้น การรู้แจ้งอริยสัจธรรม ดับกิเลสตามลำดับขั้น ต้องเป็นเรื่องของสติและปัญญาเท่านั้น  ที่จะเป็นไปเพื่อการระลึกรู้สภาวะธรรม ตามความเป็นจริง

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงพระสติระลึกรู้ จึงทรงดำรงพระชนษ์มาชีพอย่างสง่างาม ทั้งทางโลกและทางธรรม ด้วยปัญญา สรุปประมวลได้ว่า  พระองค์ทรงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทในชีวิต  พระบุญญาธิการจึงไพบูลย์ ควรที่เราทั้งหลาย ผู้ยังอยู่เบื้องหลัง จะเร่งทำประโยชน์ตัวและประโยชน์ส่วนรวม ตามรอยพระยุคลบาท ให้บริบูรณ์  ด้วยความไม่ประมาท เพื่อพระผู้เสด็จจากไป จะได้ทรงอิ่มพระราชหฤทัยว่า “กะตัง กะระณียัง”  กิจอันต้องกระทำ ได้กระทำเสร็จแล้ว…”

สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก